
Suicide Prevention Program
การฆ่าตัวตายเป็นประเด็นสำคัญทางสาธารณสุขที่มีผลกระทบรุนแรงในระดับโลกและระดับชาติ โดยมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 720,000 รายทั่วโลกในแต่ละปี และถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 4 ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15–29 ปี โดยร้อยละ 77 ของการฆ่าตัวตายเกิดในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง สาเหตุของการฆ่าตัวตายมีความหลากหลายและซับซ้อน ครอบคลุมทั้งปัจจัยทางชีวภาพ จิตวิทยา สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงชีวิต
ข้อมูลจากฐานข้อมูลระดับชาติของประเทศไทย (ระหว่างปี พ.ศ. 2556–2562) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากระบบมรณะบัตร และระบบฐานข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พบว่า การฆ่าตัวตายที่สำเร็จส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ประมาณร้อยละ 80) โดยมีอายุเฉลี่ย 45.37 ปี ส่วนการพยายามฆ่าตัวตายส่วนใหญ่อยู่ในเพศหญิง อายุเฉลี่ย 38.83 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายมีเพียงร้อยละ 2.3 ที่ได้รับการรักษาทางจิตเวชในโรงพยาบาล ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายที่สำเร็จ ได้แก่ เพศชาย อายุสูง การใช้วิธีที่มีอันตรายสูง และการไม่ได้รับการรักษาทางจิตเวชมาก่อน ขณะที่ปัจจัยทำนายการพยายามฆ่าตัวตาย ได้แก่ เพศหญิง วัยรุ่น และการมีความผิดปกติทางจิตเวชหรือการใช้สารเสพติด
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการอธิบายและป้องกันพฤติกรรมฆ่าตัวตาย ได้แก่ socio-ecological model ซึ่งพิจารณาระดับบุคคล ความสัมพันธ์ ชุมชน และสังคม ร่วมกับโมเดล TK’s 5 Factors ซึ่งเน้นปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยกระตุ้น ความล้มเหลวของระบบเฝ้าระวัง และการขาดปัจจัยปกป้อง เช่น ความเชื่อทางศาสนา ความผูกพันในครอบครัว และความสามารถในการเผชิญปัญหา
แนวทางการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านการฆ่าตัวตายมีความหลากหลาย โดยใช้เครื่องมือ เช่น แบบประเมิน 8Q, 9Q และการใช้ดุลยพินิจทางคลินิก (Clinical Judgment) โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อสัญญาณเตือน เช่น ความคิดฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ควรมีการจัดทำ “Patient Safety Plan” ร่วมกับผู้ป่วย เพื่อจัดการกับภาวะวิกฤติอย่างเป็นระบบ
กลยุทธ์การป้องกันและการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมทั้งด้านบุคคล ครอบครัว ชุมชน และนโยบายสาธารณะ ได้แก่ การเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต การฝึกอบรมอาสาสมัครและผู้ให้การดูแล การสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง การควบคุมการนำเสนอข่าวฆ่าตัวตายในสื่อ การจำกัดการเข้าถึงอาวุธหรือวิธีการที่ใช้ฆ่าตัวตาย และการให้บริการฟื้นฟูทางจิตสังคมในระยะยาว
ท้ายที่สุด การดำเนินงานป้องกันการฆ่าตัวตายต้องอาศัยความร่วมมือแบบสหสาขาวิชา (multisectoral collaboration) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายที่สามารถป้องกันได้ ส่งเสริมสุขภาพจิต และสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการมีชีวิตที่มีคุณค่าและเป้าหมาย